เก็บความรู้จากครูบาคำเป็ง เรื่องวิชาการจัดทำวัตุมงคล โยกย้ายพลัง

ประวัติและประสบการณ์ลี้ลับมหัศจรรย์ของครูบาคำเป็ง 
เก็บความรู้จากครูบาคำเป็ง เรื่องวิชาการจัดทำวัตุมงคล โยกย้ายพลัง 

หลวงปู่คำเป็ง นับเป็นพระปฏิบัติกรรมฐานที่มีความเชี่ยวชาญในกรรมฐานหลายแง่มุม
และกล่าวได้ว่าท่านเก่งรอบด้าน เก่งในกรรมฐานทุกกอง
ทั้งนี้เพราะท่านบำเพ็ญมาทางสายพระโพธิสัตว์
ดังนั้นจึงมีองค์ความรู้ที่เก็บสะสมมาจากแต่ละชาติอย่างมากมาย
เรื่องกรรมฐานนั้นปกติถ้าอยู่ในสายสาวกภูมิ
ใช้เพียงกรรมฐานกองใดกองหนึ่งที่เนื่องในจริตก็สำเร็จได้
แต่หลวงปู่นั้นอยู่ในสายพระโพธิสัตว์บำเพ็ญเพียรเพื่อถึงความเป็นสัมมา
สัมโพธิญาณจึงมีความรู้ความสามารถมากกว่าเป็นพิเศษ
จากการศึกษากรรมฐานของท่าน ท่านจะชำนาญเป็นพิเศษในการบริกรรมภาวนา
ท่านว่าสมัยก่อนท่านบริกรรมภาวนาวันละ ๑๘ ชั้วโมงติดต่อกันนานหลายปี
ในปัจจุบันท่านภาวนาต่อเนื่อง ๘ ชั่วโมงเพราะสภาพสังขารเริ่มไม่ไหว
นอกจากความชำนาญในการบริกรรมภาวนา การเพ่งนิมิต
การเพ่งภาพเพื่อให้เกิดพลังฌานท่านก็สามารถด้วยเช่นกัน
จากการปฏิบัติสืบเนื่องตจิดต่อเป็นเวลานานท่านได้พบเคล็ดลับวิชาหลายอย่าง
เช่นวิชามหาอุด คงกระพัน เมตตา ที่สำคัญที่ท่านชำนิชำนาญเป็นพิเศษคือ
วิชาโยกย้ายถ่ายเทพลังงาน

การโยกย้ายถ่ายเทพลังงานไม่ใช่วิชาใหม่แต่คนที่ชำนาญในไสยเวทย์โบราณเป็นกัน
ทุกคนแต่องค์ความรู้นี้ปัจจุบันมีคนรู้ไม่มากและไม่ค่อยมีใครใช้
พลังงานเป็นสิ่งที่สถิตย์อยู่ในวัตถุ คน สัตว์สิ่งของได้
ขณะเดียวกันพลังงานก็มีแรงผลัก แรงดูด
พลังงานมีการยักย้ายถ่ายเทไปตามแรงดึงดูดต่างๆได้ มีการสลายตัวได้
และกลับรวมเข้ากันใหม่ เปรียบเทียบง่ายๆกับ ธาตุน้ำ
ที่สามารถไหลจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่ง และเมื่อเทน้ำไปสู่ภาชนะใด
น้ำก็จะมีรูปร่างเป็นภาชนะนั้นโดยธรรมชาติ น้ำสามารถระเหยหายไปในอากาศ
แต่เมื่อสภาวะที่เหมาะสมเกิดขึ้นก็สามารถควบตัวเองกลายเป็นหยดน้ำเหมือนเดิม
พลังงานไม่มีวันหายไปไหนแต่วนเวียนในจักรวาลนานเท่านาน
ผู้ที่เข้าถึงหลักแก่นแท้แห่งจิต
แห่งพลังจักรวาลสามารถดึงพลังงานเหล่านี้ให้มาประจุภายในตัวเอง
และประจุในสิ่งของ ทั้งสามารถโยกย้ายถ่ายเทพลังงานไปตามความเหมาะสมได้ด้วย
เรื่องพลังงานนั้นนับเป็นเรื่องลึกลับสำหรับ
หลวงปู่คำเป็งท่านสำเร็จวิชาเกี่ยวกับพลังงาน
ทั้งเรื่องการดึงดูดพลังงานเข้าไว้ในกายหรือถ่ายเทสู่วัตถุต่างๆ
พลังงานนี้หลวงปู่ขยายความว่าหมายถึงพลังงานจากพระอาทิตย์ พระจันทร์
พลังงานจากทุกสรรพสิ่ง ต้นไม้ใบหญ้าใช่หมด
แต่ที่สำคัญหลวงปู่คำเป็งเล่าว่า
ในโลกของเรามีพลังงานจากปราณจากอำนาจกระแสจิตของเหล่าโยคีฤๅษีหรือพระเกจิ
ครูบาอาจารย์ที่สำเร็จทางจิตจำนวนมาก
พลังงานฌานสมาบัติของท่านทั้งหลายไม่ได้ตายตามตัวแต่ยังคงทิ้งไว้ในโลกของ
เรานี่เอง พลังงานของผู้สำเร็จทั้งหลายยังคงอยู่
แม้ว่าดวงจิตนั้นอาจบรรลุนิพพานไปแล้ว อันนี้เป็นคนละเรื่องกัน
พลังงานดังกล่าวคือพลังงานที่มีอุณหภูมิ มีความร้อน มีแรงดึงดูด
มีศักยภาพคล้ายแม่เหล็กไฟฟ้า
เมื่อดึงพลังงานนี้เข้าสู่ฝ่ามือจะรู้สึกได้ว่าฝ่ามือเราร้อนขึ้นหนักขึ้น
อาจมีอาการสั่น อาการเย็นจัดก็ใช่
หรือเหมือนมีกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่บนฝ่ามือเรา
พลังงานโลกธาตุหรือพลังงานจักรวาลหรือหลวงปู่ท่านจะเรียกบ่อยที่สุดว่าพลัง
จากพระเป็นเจ้า
พลังงานเป็นสิ่งที่ถ่ายเทหลื่นไหลเคลื่อนย้ายไปตามแรงดึงดูดได้เสมอ
คนที่มีจิตเป็นสมาธิอย่างดีสามารถเชิญพลังหรือดูดพลังงานเหล่านี้เข้าสู่ตัว
เองได้เข้าสู่วัตถุต่างๆได้ด้วย

พลังงานจากพระเป็นเจ้านี้หากดึงลงสู่วัตถุแล้วก็ทำ
ให้วัตถุนั้นๆเป็นเครื่องรางของขลังที่ทรงอานุภาพ
อย่างไรก็ตามหากคนที่เขามีวิชาก็สามารถสูบพลังงานนี้ออกไปได้
ดังนั้นการที่เราดูดพลังงานได้แล้วจำเป็นต้องรู้ถึงการรักษาพลังงานนั้นให้
คงอยู่และสามารถพัฒนาพลังงานนั้นไปตามลำดับ
ด้วยการรู้จักนำพลังงานไปใช้ให้เกิดประโยชน์ 

การถ่ายเทพลังงานนับเป็นเรื่องสำคัญ
ธรรมดามนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างมีการถ่ายเทพลังงานในตัวเองแลกเปลี่ยน
กับพลังงานรอบกายอยู่แล้ว เช่นมนุษย์เราหายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือ
การทานอาหารเข้าไปแล้วถ่ายออกมา การคายความร้อนของร่างกาย
ทุกกิจกรรมนั้นต่างเป็นการถ่ายเทพลังงานทั้งสิ้น การถ่ายเทพลังงานจักรวาล
เป็นสิ่งสำคัญเพราะพลังงานเหมือนกับน้ำหากนิ่งอยู่กับที่ไม่มีการถ่ายเทย่อม
ไม่เกิดประโยชน์และเสื่อมคุณภาพลงได้ การถ่ายเทพลังงานของหลวงปู่ท่าน
เป็นเรื่องอจินไตยเพราะท่านสามารถถ่ายเทพลังงานในตัวของท่านกับเทพพรหมที่มี
วาสนาต่อกันมาแต่อดีตชาติครับ
สำหรับเราๆท่านสามารถหัดถ่ายเทหพลังงานจักรวาลกับต้นไม้ได้
หรือกับพระเครื่องก็ได้
แต่ต้องระวังไม่เอาพระเครื่องที่มีเศษซากศพนะครับเพราะอาจโดนพลังแฝง
ใช้พระเครื่องของหลวงปู่คำเป็งนี่แหละครับดีที่สุด
ตามปกติการที่เราแขวนพระที่คอก็มีการถ่ายเทพลังงานจากพระมาสู่ตัวเราอยู่
แล้ว และมีการถ่ายเทพลังงานจากตัวเราไปสู่พระด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามการนำพระมากำหนดจิตถ่ายเทพลังงานโดยตรงก็เป็นอีกแบบฝึกหัดหนึ่ง
ที่มีประโยชน์
เพราะทำให้ผู้หัดถ่ายเทสามารถพัฒนาเป็นเกจิอาจารย์ไปโดยปริยาย
หลังจากที่เราถ่ายเทพลังงานจากกายเราไปสู่พระก็ต้องหัดกำหนดจิตดูดพลังงาน
จากพระเข้าสู่ตัวอีกครั้ง
การทำแบบนี้เรียกว่าเป็นการฟอกพลังงานด้วยเหมือนการฟอกเลือดหรือเหมือนกับ
การทำระบบน้ำหมุนวน ผลคือรัศมีกายเราจะสว่างมากขึ้น มีศักยภาพมากขึ้น
ศักยภาพที่มากขึ้นหมายถึงแรงดึงดูดของกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าในกายเราจะสูงขึ้น
ไงครับ มีศักยภาพทำให้เกิดความต้านทานโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น ดึงดูดสิ่งดีๆ
โอกาสดีๆ คนดีๆ เรื่องดีๆเข้ามาในชีวิตได้ง่ายขึ้นด้วย

วิชาเกี่ยวกับพลังงานนี่ที่สุดแล้วย่อมไปสู่เนื้อเดียวกันเหมือนสายน้ำทุก
สายย่อมรวมลงในทะเล สำหรับพระของหลวงปู่นั้นท่านว่า
การประจุพลังลงในองค์พระเมื่อเรารู้จักพลังของพระเป็นเจ้าอันเป็นพลังงานใน
ธรรมชาติแล้ว
ต่อมาเราต้องรู้จักอัญเชิญดวงจิตดวงวิญญาณของครูบาอาจารย์มาประสิทธิ
ขั้นนี้เรียกว่าวิญญาณศาสตร์
เมื่อทำการเสกพระท่านก็อัญเชิญครูบาอาจารย์ที่ท่านนับถือได้แก่พระอมิตภะ
พระกวนอิม พระมหาสถาปราบ หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่ศุข หลวงพ่อเงิน
หลวงพ่อเดิมฯลฯ ต้นสายวิชาแต่ละท่านมาประสิทธิ
เป็นการทำให้พลังงานในพระเครื่องแกร่งยิ่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว สุดท้ายคือ
การใช้ฌานสมาบัติ วิชาคาถาอาคม
อำนาจแห่งการบำเพ็ญเพียรของท่านลงประจุซ้ำอีกครั้งหนึ่งเป็นอันจบ
สรุปแล้วสามขั้นตอนที่ท่านทำคือ 1 หลักพลังงานจักรวาล
หรือพลังงานจากพระเป็นเจ้า 2 พลังจากครูบาอาจารย์ 3 พลังจิตภายในของท่าน 

ว่าด้วยเรื่องการเสกประจุที่ท่านสอน ท่านกล่าวไว้ดังนี้ครับว่า
การเสกของประจุนั้นมีหลัก 4 อย่างอีกคือ 1 การสาธยาย
ภาวนาพระคาถาในใจหรือท่องเบาๆ ประจุลงในวัตถุมงคล 2
การภาวนาในใจแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกจากนั้นเป่าปราณออกทางปากยาวๆใส่ลงในตัว
วัตถุมงคล 3 การกลั้นหายใจภาวนา เรื่องนี้ท่านว่าเป็นเคล็ดลับ
ทำไมต้องกลั่นหายใจ ท่านว่าเพราะการกลั้นหายใจนั้นเป็นเคล็ด ที่ว่า
คนที่เขาทำฌานสี่เต็มกำลังลมหายใจจะขาดหาย
ดังนั้นการกลั้นหายในภาวนาจึงได้กำลังเทียบเคียงกับผู้ที่ทำฌานสี่เหมือน
เป็นวิธีลัด แม้ไม่ได้ตรงกันแป๊ะก็ยังใกล้เคียงครับ 4
คือการเพ่งด้วยสายตาแล้วเพ่งให้อักขระคาถาเข้าไปสู่วัตถุมงคล
วิธีนี้คล้ายกสิณจะบอกว่าเป็นหลักกสิณก็ได้ครับ
วิธีทั้งหมดนี้หากลองนำไปปฏิบัติก็นับว่าเป็นอุบายในการทำสมาธิได้อย่างดี
จะได้ไม่เบื่อในการทำสมาธิกัน
แต่หากใครจะจับหลักการไหนตามจริตก็เชิญเลยครับ
นำมาเผยแพร่ความรู้เป็นวิทยาทาน

ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

ช่วงที่ ๑

ในการปลุกเสกอธิษฐานของหลวงปู่แต่ละครั้ง จะไม่มีพิธีอะไรมาก บางครั้งท่านจะชุมนุมเทวดาก่อน แล้วจึงอธิษฐานปลุกเสกตามลำดับ ท่านบอกว่า "อาราธนามาหมด พระทั้งแสนโกฏิจักรวาล" พระพุทธเจ้าไม่ใช่มีแต่จักรวาลนี้ สมัยเมื่อพระโมคคัลลาน์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านท่องไปในจักรวาลต่างๆ ไปจักรวาลไหนก็เอาเม็ดถั่วเขียวทิ้งไว้ ไปจนหลงกลับไม่ถูก ไปพบพระพุทธเจ้าอีกจักรวาลหนึ่ง ท่านเลยบอกให้นึกถึงพระพุทธเจ้าที่พระโมคคัลลาน์เป็นอัครสาวกอยู่ เมื่อนึกแล้ว พระโมคคัลลาน์จึงกลับมาได้ การเสกของคนคนเดียวน่ะขลังยาก ต้องอาศัยบารมีพระ บารมีพรหม เทวดาช่วย คนเราต้องไหวดี เอาตัวเองเก่งคนเดียวนั้นยาก พระโมคคัลลาน์ท่านเก่งทางฤทธิ์ แต่อย่างไรก็สู้ทางปัญญาไม่ได้ ดังเช่นคราวหนึ่ง พระพุทธเจ้าให้พระโมคคัลลาน์นับเม็ดฝนที่ตกในจักรวาล พระโมคคัลลาน์ใช้ฤทธิ์เหาะไปนับ แต่พระสารีบุตรไม่ไป อยู่กับที่ใช้ปัญญาถามพระพุทธเจ้า ผลออกมาเหมือนกัน แต่เหนื่อยผิดกัน

สำหรับคาถาที่ท่านใช้ปลุกเสกมีหลายบท แต่ท่านสรุปว่า "บรรดา มนต์ดลต่างๆ นั้น สู้บทสวดมนต์ไม่ได้ เพราะมีอานุภาพมากกว่ากัน บทไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้น ดีทั้งนั้น เมื่อก่อนข้าเรียนมาหมด เวทมนต์คาถาว่าเละไปด้วยกัน เดี๋ยวนี้ทิ้งหมดแล้ว เอาคุณพระดีกว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง น่ะยอดคาถาอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าบทไหนก็ตาม จะต้องมีการปลุกเสกด้วยบท "มหาจักรพรรดิ์" ทั้งสิ้น พระที่ข้าทำน่ะ ข้าก็ว่าทำดีแล้ว แต่คนที่ไปใช้จะทำดีตามหรือเปล่า บางคนก็กลัวว่าไปรอดราวตากผ้า ไปทำไม่ดี พระจะเสื่อมหรือไม่ ของดีน่ะไม่มีเสื่อม ไอ้ที่เสื่อมน่ะ ใจคนเสื่อม"

ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ

ช่วงที่ ๒

ที่หลวงปู่บอกว่า การสวดมนต์นั้นจะดีกว่าการใช้มนต์ดล การใช้มนต์ดลคือ คำหน้า ที่ใช้คำว่า "โอม" ก็ดี หรือคำที่ใช้คำกล่าวถึงเทพหรือฤาษีต่างๆ นั้น หลวงปู่บอกว่าใน ๗ ตำนาน หรือ ๑๒ ตำนานนั้น เป็นการแสดงถึงบารมีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ บารมีเหล่านี้เป็นสิ่งที่ซึ่งแสดงออกมาได้ และเมื่อท่านผู้หนึ่งผู้ใด สำเร็จในพลังจิตแล้ว มีแต่การนำเอาบทสวดมนต์ใน ๗ ตำนาน มาสวดในการปลุกเสก โดยยังไม่ทันเข้าสมาธิ ก็สามารถทำให้วัตถุนั้น เกิดเป็นพลังงาน พลังจิตขึ้นมาได้ อย่างเช่นหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง เจ้าคุณนรรัตน์ ราชวานิต เวลาท่านปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านจะสวดมนต์หลายบท ซึ่งมนต์หลายบทนั้นก็อยู่ใน ๗ ตำนาน หรือแม้แต่ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆัง การปลุกเสกพระสมเด็จ ท่านก็ใช้คาถาชินบัญชร ซึ่งแสดงว่าพระที่ท่านมีพลังจิตแล้ว แม้ท่านจะกล่าวอะไรขึ้นมาก็ตาม ก็ย่อมเกิดเป็นพลังงานได้ง่าย สำหรับการปลุกเสกพระของหลวงพ่อวัดประดู่ทรงธรรมนั้น จะต้องมีธาตุทั้ง ๕ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ อันนี้ก็หมายถึง ในคนเช่นมนุษย์ทั่วไป ก็จะมีธาตุเหล่านี้ประกอบอยู่ ดังนั้นวัตถุหรือรูปเปรียบ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งยังไม่มีการปลุกเสกก็เสมือนเป็นตุ๊กตาหรือเป็นรูปธรรม แต่เมื่อมีการปลุกเสกหรือการอธิษฐานแล้ว ก็เป็นการเชิญพลังงานเหล่านี้ มาสถิตอยู่ในองค์พระเหมือนกับบรรจุลงไป เมื่อบรรจุลงไปแล้ว ก็จะทำให้วัตถุนั้นเป็นวัตถุที่มีพลังขึ้นมาได้ หรือแม้แต่หลวง พ่อคล้าย วัดจันทร์ดี การปลุกเสกของท่าน ท่านก็อธิษฐานเอาความว่างเปล่าลงไปไว้ในวัตถุเหล่านั้น ความว่างเปล่านั้น ไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย มีแต่ความบริสุทธิ์ เมื่อมีความว่างเปล่าไปบรรจุในวัตถุ วัตถุนั้นก็ย่อมมีพลานุภาพขึ้นมาได้ จึงมีทั้งรูปธรรม และนามธรรมเกิดขึ้นในวัตถุมงคลเหล่า

ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ

ช่วงที่ ๓

ข้าพเจ้า "พระเครื่องที่ทำด้วยโลหะกับเนื้อผง เนื้อผงน่าจะแรงกว่าใช่ไหมครับ"

หลวงปู่ "ไม่จำเป็น ดูอย่างหลวงพ่อเกษม ท่านเสกก้านธูป คนเอาไปยิงไม่ออก อยู่ที่ผู้เสกหรือตัวอาจารย์นั่นแหละ"

ข้าพเจ้า "แล้วพระที่มีการจารด้วยเหล็กจาร กับไม่จารนั้นต่างกันหรือไม่"

หลวงปู่ "การจารนั้นก็คือ นำมาทำอีกครั้งหนึ่ง อธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง"

ข้าพเจ้า "การปลุกเสกพระด้วยคณาจารย์หลายๆ องค์ กับองค์เดียวทำ หรืออธิษฐานจากที่หนึ่ง ไปช่วยอีกที่หนึ่งนั้นเป็นไปได้ไหม"

หลวงปู่ "เป็นไปได้ อำนาจจิตน่ะเป็นของวิเศษ ไปได้เกินกว่าแสนโยชน์ แต่การที่เขาต้องมีพิธีปลุกเสก โดยให้มีคณาจารย์นั่งรวมกันหลายๆ องค์ ก็เพื่อประโยชน์ของผู้ที่จะนำไปใช้ คือเกิดกำลังใจดีกว่ากัน ที่จริงผลเหมือนกัน"

ข้าพเจ้า "แล้วการที่ปลุกเสกหลายๆ วัน กับปลุกเสกช่วงระยะเวลาเดี๋ยวเดียว อย่างหลวงปู่แหวนปลุกเสกไม่เกิน ๑๕ นาที หรือหลวงปู่เสก ก็เห็นเต็มหมดแล้วนี่ครับ"

หลวงปู่ "อยู่ที่เชื่อ หลวงพ่อเกษมท่านให้คนถือของหรือกล่องที่จะเสก เดินผ่านช่องกุฏิ ท่านเป่าพรวดเดียวก็ใช้ได้ การปลุกเสกนานๆ อย่างเช่น ในไตรมาส ก็เป็นการบังคับให้ต้องทำเสมอ เสกนานก็ทำให้เพิ่มเติมอะไรที่เห็นว่าขาดตกบกพร่อง ถ้าใครเชื่อข้า ข้าก็ไม่ต้องเสก หยิบให้แล้วนำไปใช้ได้เลย"

ข้าพเจ้า "พระอรหันต์ประเภท สุกขวิปัสสโก ท่านจะมีความสามารถในการเสกพระหรือไม่ครับ"

หลวงปู่ "สุกขวิปัสสโก ก็ประเภททำให้หมดทุกข์คนเดียว แต่แกเอ๋ย พระอรหันต์น่ะ ท่านทำอะไรก็ได้ เพียงแต่การอธิษฐานว่า ขอให้วัตถุเหล่านี้ จงศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำไปใช้จงมีความสำเร็จ เช่นเดียวกับข้าพเจ้าก็ใช้ได้แล้ว"

ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ

ช่วงที่ ๔

หลวงปู่ยังได้เล่าถึง วิธีการปลุกเสกพระ ตามแบบฉบับของ วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดอยุธยา ดังนี้

"การปลุกเสกพระจริงๆ แล้ว จะต้องมีผู้ทำอย่างน้อย ๔ คน หมายถึง ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ โดยมีตัวอาจารย์เป็นผู้ควบคุม และหมายถึงอากาศธาตุ ต้องทำให้สว่าง เวลาจะลงเป็นอย่างไหนต้องรับรองได้ การนำไปใช้จึงสัมฤทธิผล สมัยโบราณเขาต้องมีการยิงปืน ตีดาบให้ได้ยินเสียง เพื่อเป็นการปลุกจิตปลุกใจเพื่อเสก เพื่อให้เกิดความขลังได้ง่าย"

ข้าพเจ้า "การที่หลวงปู่จะทำอะไรทุกครั้งเห็นต้องมีคนคุม คือคอยตรวจสอบดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเกิดไม่มีเขาเหล่านั้น แล้วหลวงปู่จะทำอย่างไร"

หลวงปู่ "ไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะเราแน่ใจว่าเมื่อตั้งอธิษฐานอะไรแล้ว ต้องเป็นไปตามนั้น"

ข้าพเจ้า (ยกมือขึ้นสาธุ) "แสดงว่าหลวงปู่ต้องการให้ผู้ที่นั่งอยู่เกิดบุญ เพราะจะได้โมทนาในสิ่งที่ตนรู้เห็น เป็นการช่วยให้เขาได้บุญน่ะครับ"

หลวงปู่ท่านยิ้มอย่างมีเมตตา และทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า หลวงปู่ท่านมีกุศโลบายในการที่จะทำให้คนได้บุญ และท่านยังเสริมอีกว่า "บุญนั้นหมั่นทำไว้ ปฏิบัติไว้ คนไหนที่เขาว่าทำได้ดีได้เห็นอะไรก็ตาม โมทนาไปเลยไม่มีเสีย มีแต่ได้ อย่าไปขัดเขา เวลา เดินผ่านไปไหนเห็นดอกไม้เขาปลูกอยู่ เราก็นึกถวายพระแทนเขา ของอะไรก็ตามนึกถวายพระพุทธเจ้าได้บุญทั้งนั้น เวลาจะเปิดไฟ ถ้าอยากได้บุญก็ว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา ก็ได้แล้ว"

ข้าพเจ้า "ถ้าเราถวายแทนเขาโดยไม่ขออนุญาตนี้ จะผิดศีลข้อ ๒ หรือไม่ครับ"

หลวงปู่ "ก็แกแผ่เมตตาให้เจ้าของเขาหรือเปล่าล่ะ ถ้าแผ่เมตตาให้เขาก็ไม่บาป" (ผู้เขียนเข้าใจว่า ถ้าไม่แผ่เมตตาให้เจ้าของก็ไม่ผิดศีลข้อ ๒ แต่ที่หลวงปู่ว่าไม่บาป คงหมายถึงทำให้ใจเราไม่เศร้าหมอง)

ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ

ช่วงที่ ๕

หลวงปู่ท่านยิ้ม แล้วตอบให้ศิษย์หายข้องใจ โดยท่านสรุปการปลุกเสกพระให้ขลังไว้ดังนี้

"เรื่องของคงกระพันชาตรีน่ะทำง่าย แค่ขนลุกก็เหนียวแล้ว แคล้วคลาดน่ะดีกว่า เพราะไม่เจ็บตัว การเสกพระทำน้ำมนต์ให้ดีให้ขลัง ต้องทำใจของเราให้มีเมตตา คือรักเขายิ่งชีวิตแล้วจะได้ผลดี การเสกพระให้มีพุทธคุณทางเมตตาน่ะ ทำยากที่สุด หมั่นปฏิบัติไปเถิด"

คำพูดของหลวงปู่ถือเป็นสัจธรรม หรืออมตธรรมที่ตรงกับพระพุทธภาษิตที่ว่า "โลโกปัตถัมภิกาเมตตา เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก" คือต้องทำตัวเราเองให้เป็นคนดีเสียก่อน จึงจะมีผลในการดำเนินชีวิต และทำให้คนใกล้ชิดได้รับความสุขไปด้วย

พวกติดคุกติดตะรางหรือไอ้เสือทั้งหลายเหล่านี้ มักจะมีความสามารถทางคงกระพันชาตรี แล้วเกิดฮึกเหิมขาดศีลธรรม ทำให้เขาต้องประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทางไปในที่สุด บางคนไม่มีพระ ไม่มีคาถาอาคม ก็ยังสามารถรอดจากภยันตรายได้ เรื่องมีว่า มีคนเหนือไปทำงานแถบปราจีนบุรี ซึ่งมีพวกเขมรมาก และเกิดไปขัดใจกับพวกนั้น พวกเขมรนั้นเก่งทางทำของ ทำคุณไสย เขาก็ปล่อยมาให้เจ้าคนนี้ แต่ก็น่าแปลกใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้ จนในที่สุดคนทำของเกิดความสงสัยจึงไปถาม เขาตอบว่า "ไม่มีเครื่องรางของขลังอะไรเลย คาถาอาคมก็ไม่มี แต่ก่อนจะนอนทุกคืนต้องกราบหมอน ไหว้พ่อไหว้แม่ เป็นเช่นนี้มิได้ขาด" คนทำของจึงบอกว่า "คืนนี้แกอย่าไหว้พ่อ ไหว้แม่นะ ข้าจะปล่อยของแล้วจะแก้ให้" เขาก็ทำตาม ตอนนี้เป็นเพื่อนกันแล้ว คืนนั้นก็ปล่อยของเข้าตัวได้ แล้วเขาก็แก้ให้ นี่ขนาดไหว้พ่อ ไหว้แม่นะ ทำให้จริงยังสามารถป้องกันตัวได้ หลวงปู่สอนให้พวกเรามีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ และผู้มีพระคุณทั้งหลาย ซึ่งถือเป็นคุณธรรมที่ควรประพฤติปฏิบัติ ดังพุทธภาษิตว่า "นิมิตตัง สาธุ รูปานัง กตัญญูกตเวทิตา" ความกตัญญูกตเวทิตา เป็นเครื่องหมายของคนดี

- จบตอน -

ที่มาบทความจาก: หนังสือกายสิทธิ์ - See more at: http://buddhapoom.com/index.php?topic=347.0#sthash.a2nPAcVk.dpuf