ประวัติและประสบการณ์ลี้ลับมหัศจรรย์ของครูบาคำเป็ง
เก็บความรู้จากครูบาคำเป็ง เรื่องวิชาการจัดทำวัตุมงคล โยกย้ายพลัง
หลวงปู่คำเป็ง นับเป็นพระปฏิบัติกรรมฐานที่มีความเชี่ยวชาญในกรรมฐานหลายแง่มุม
และกล่าวได้ว่าท่านเก่งรอบด้าน เก่งในกรรมฐานทุกกอง
ทั้งนี้เพราะท่านบำเพ็ญมาทางสายพระโพธิสัตว์
ดังนั้นจึงมีองค์ความรู้ที่เก็บสะสมมาจากแต่ละชาติอย่างมากมาย
เรื่องกรรมฐานนั้นปกติถ้าอยู่ในสายสาวกภูมิ
ใช้เพียงกรรมฐานกองใดกองหนึ่งที่เนื่องในจริตก็สำเร็จได้
แต่หลวงปู่นั้นอยู่ในสายพระโพธิสัตว์บำเพ็ญเพียรเพื่อถึงความเป็นสัมมา
สัมโพธิญาณจึงมีความรู้ความสามารถมากกว่าเป็นพิเศษ
จากการศึกษากรรมฐานของท่าน ท่านจะชำนาญเป็นพิเศษในการบริกรรมภาวนา
ท่านว่าสมัยก่อนท่านบริกรรมภาวนาวันละ ๑๘ ชั้วโมงติดต่อกันนานหลายปี
ในปัจจุบันท่านภาวนาต่อเนื่อง ๘ ชั่วโมงเพราะสภาพสังขารเริ่มไม่ไหว
นอกจากความชำนาญในการบริกรรมภาวนา การเพ่งนิมิต
การเพ่งภาพเพื่อให้เกิดพลังฌานท่านก็สามารถด้วยเช่นกัน
จากการปฏิบัติสืบเนื่องตจิดต่อเป็นเวลานานท่านได้พบเคล็ดลับวิชาหลายอย่าง
เช่นวิชามหาอุด คงกระพัน เมตตา ที่สำคัญที่ท่านชำนิชำนาญเป็นพิเศษคือ
วิชาโยกย้ายถ่ายเทพลังงาน
การโยกย้ายถ่ายเทพลังงานไม่ใช่วิชาใหม่แต่คนที่ชำนาญในไสยเวทย์โบราณเป็นกัน
ทุกคนแต่องค์ความรู้นี้ปัจจุบันมีคนรู้ไม่มากและไม่ค่อยมีใครใช้
พลังงานเป็นสิ่งที่สถิตย์อยู่ในวัตถุ คน สัตว์สิ่งของได้
ขณะเดียวกันพลังงานก็มีแรงผลัก แรงดูด
พลังงานมีการยักย้ายถ่ายเทไปตามแรงดึงดูดต่างๆได้ มีการสลายตัวได้
และกลับรวมเข้ากันใหม่ เปรียบเทียบง่ายๆกับ ธาตุน้ำ
ที่สามารถไหลจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่ง และเมื่อเทน้ำไปสู่ภาชนะใด
น้ำก็จะมีรูปร่างเป็นภาชนะนั้นโดยธรรมชาติ น้ำสามารถระเหยหายไปในอากาศ
แต่เมื่อสภาวะที่เหมาะสมเกิดขึ้นก็สามารถควบตัวเองกลายเป็นหยดน้ำเหมือนเดิม
พลังงานไม่มีวันหายไปไหนแต่วนเวียนในจักรวาลนานเท่านาน
ผู้ที่เข้าถึงหลักแก่นแท้แห่งจิต
แห่งพลังจักรวาลสามารถดึงพลังงานเหล่านี้ให้มาประจุภายในตัวเอง
และประจุในสิ่งของ ทั้งสามารถโยกย้ายถ่ายเทพลังงานไปตามความเหมาะสมได้ด้วย
เรื่องพลังงานนั้นนับเป็นเรื่องลึกลับสำหรับ
หลวงปู่คำเป็งท่านสำเร็จวิชาเกี่ยวกับพลังงาน
ทั้งเรื่องการดึงดูดพลังงานเข้าไว้ในกายหรือถ่ายเทสู่วัตถุต่างๆ
พลังงานนี้หลวงปู่ขยายความว่าหมายถึงพลังงานจากพระอาทิตย์ พระจันทร์
พลังงานจากทุกสรรพสิ่ง ต้นไม้ใบหญ้าใช่หมด
แต่ที่สำคัญหลวงปู่คำเป็งเล่าว่า
ในโลกของเรามีพลังงานจากปราณจากอำนาจกระแสจิตของเหล่าโยคีฤๅษีหรือพระเกจิ
ครูบาอาจารย์ที่สำเร็จทางจิตจำนวนมาก
พลังงานฌานสมาบัติของท่านทั้งหลายไม่ได้ตายตามตัวแต่ยังคงทิ้งไว้ในโลกของ
เรานี่เอง พลังงานของผู้สำเร็จทั้งหลายยังคงอยู่
แม้ว่าดวงจิตนั้นอาจบรรลุนิพพานไปแล้ว อันนี้เป็นคนละเรื่องกัน
พลังงานดังกล่าวคือพลังงานที่มีอุณหภูมิ มีความร้อน มีแรงดึงดูด
มีศักยภาพคล้ายแม่เหล็กไฟฟ้า
เมื่อดึงพลังงานนี้เข้าสู่ฝ่ามือจะรู้สึกได้ว่าฝ่ามือเราร้อนขึ้นหนักขึ้น
อาจมีอาการสั่น อาการเย็นจัดก็ใช่
หรือเหมือนมีกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่บนฝ่ามือเรา
พลังงานโลกธาตุหรือพลังงานจักรวาลหรือหลวงปู่ท่านจะเรียกบ่อยที่สุดว่าพลัง
จากพระเป็นเจ้า
พลังงานเป็นสิ่งที่ถ่ายเทหลื่นไหลเคลื่อนย้ายไปตามแรงดึงดูดได้เสมอ
คนที่มีจิตเป็นสมาธิอย่างดีสามารถเชิญพลังหรือดูดพลังงานเหล่านี้เข้าสู่ตัว
เองได้เข้าสู่วัตถุต่างๆได้ด้วย
พลังงานจากพระเป็นเจ้านี้หากดึงลงสู่วัตถุแล้วก็ทำ
ให้วัตถุนั้นๆเป็นเครื่องรางของขลังที่ทรงอานุภาพ
อย่างไรก็ตามหากคนที่เขามีวิชาก็สามารถสูบพลังงานนี้ออกไปได้
ดังนั้นการที่เราดูดพลังงานได้แล้วจำเป็นต้องรู้ถึงการรักษาพลังงานนั้นให้
คงอยู่และสามารถพัฒนาพลังงานนั้นไปตามลำดับ
ด้วยการรู้จักนำพลังงานไปใช้ให้เกิดประโยชน์
การถ่ายเทพลังงานนับเป็นเรื่องสำคัญ
ธรรมดามนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างมีการถ่ายเทพลังงานในตัวเองแลกเปลี่ยน
กับพลังงานรอบกายอยู่แล้ว เช่นมนุษย์เราหายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือ
การทานอาหารเข้าไปแล้วถ่ายออกมา การคายความร้อนของร่างกาย
ทุกกิจกรรมนั้นต่างเป็นการถ่ายเทพลังงานทั้งสิ้น การถ่ายเทพลังงานจักรวาล
เป็นสิ่งสำคัญเพราะพลังงานเหมือนกับน้ำหากนิ่งอยู่กับที่ไม่มีการถ่ายเทย่อม
ไม่เกิดประโยชน์และเสื่อมคุณภาพลงได้ การถ่ายเทพลังงานของหลวงปู่ท่าน
เป็นเรื่องอจินไตยเพราะท่านสามารถถ่ายเทพลังงานในตัวของท่านกับเทพพรหมที่มี
วาสนาต่อกันมาแต่อดีตชาติครับ
สำหรับเราๆท่านสามารถหัดถ่ายเทหพลังงานจักรวาลกับต้นไม้ได้
หรือกับพระเครื่องก็ได้
แต่ต้องระวังไม่เอาพระเครื่องที่มีเศษซากศพนะครับเพราะอาจโดนพลังแฝง
ใช้พระเครื่องของหลวงปู่คำเป็งนี่แหละครับดีที่สุด
ตามปกติการที่เราแขวนพระที่คอก็มีการถ่ายเทพลังงานจากพระมาสู่ตัวเราอยู่
แล้ว และมีการถ่ายเทพลังงานจากตัวเราไปสู่พระด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามการนำพระมากำหนดจิตถ่ายเทพลังงานโดยตรงก็เป็นอีกแบบฝึกหัดหนึ่ง
ที่มีประโยชน์
เพราะทำให้ผู้หัดถ่ายเทสามารถพัฒนาเป็นเกจิอาจารย์ไปโดยปริยาย
หลังจากที่เราถ่ายเทพลังงานจากกายเราไปสู่พระก็ต้องหัดกำหนดจิตดูดพลังงาน
จากพระเข้าสู่ตัวอีกครั้ง
การทำแบบนี้เรียกว่าเป็นการฟอกพลังงานด้วยเหมือนการฟอกเลือดหรือเหมือนกับ
การทำระบบน้ำหมุนวน ผลคือรัศมีกายเราจะสว่างมากขึ้น มีศักยภาพมากขึ้น
ศักยภาพที่มากขึ้นหมายถึงแรงดึงดูดของกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าในกายเราจะสูงขึ้น
ไงครับ มีศักยภาพทำให้เกิดความต้านทานโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น ดึงดูดสิ่งดีๆ
โอกาสดีๆ คนดีๆ เรื่องดีๆเข้ามาในชีวิตได้ง่ายขึ้นด้วย
วิชาเกี่ยวกับพลังงานนี่ที่สุดแล้วย่อมไปสู่เนื้อเดียวกันเหมือนสายน้ำทุก
สายย่อมรวมลงในทะเล สำหรับพระของหลวงปู่นั้นท่านว่า
การประจุพลังลงในองค์พระเมื่อเรารู้จักพลังของพระเป็นเจ้าอันเป็นพลังงานใน
ธรรมชาติแล้ว
ต่อมาเราต้องรู้จักอัญเชิญดวงจิตดวงวิญญาณของครูบาอาจารย์มาประสิทธิ
ขั้นนี้เรียกว่าวิญญาณศาสตร์
เมื่อทำการเสกพระท่านก็อัญเชิญครูบาอาจารย์ที่ท่านนับถือได้แก่พระอมิตภะ
พระกวนอิม พระมหาสถาปราบ หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่ศุข หลวงพ่อเงิน
หลวงพ่อเดิมฯลฯ ต้นสายวิชาแต่ละท่านมาประสิทธิ
เป็นการทำให้พลังงานในพระเครื่องแกร่งยิ่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว สุดท้ายคือ
การใช้ฌานสมาบัติ วิชาคาถาอาคม
อำนาจแห่งการบำเพ็ญเพียรของท่านลงประจุซ้ำอีกครั้งหนึ่งเป็นอันจบ
สรุปแล้วสามขั้นตอนที่ท่านทำคือ 1 หลักพลังงานจักรวาล
หรือพลังงานจากพระเป็นเจ้า 2 พลังจากครูบาอาจารย์ 3 พลังจิตภายในของท่าน
ว่าด้วยเรื่องการเสกประจุที่ท่านสอน ท่านกล่าวไว้ดังนี้ครับว่า
การเสกของประจุนั้นมีหลัก 4 อย่างอีกคือ 1 การสาธยาย
ภาวนาพระคาถาในใจหรือท่องเบาๆ ประจุลงในวัตถุมงคล 2
การภาวนาในใจแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกจากนั้นเป่าปราณออกทางปากยาวๆใส่ลงในตัว
วัตถุมงคล 3 การกลั้นหายใจภาวนา เรื่องนี้ท่านว่าเป็นเคล็ดลับ
ทำไมต้องกลั่นหายใจ ท่านว่าเพราะการกลั้นหายใจนั้นเป็นเคล็ด ที่ว่า
คนที่เขาทำฌานสี่เต็มกำลังลมหายใจจะขาดหาย
ดังนั้นการกลั้นหายในภาวนาจึงได้กำลังเทียบเคียงกับผู้ที่ทำฌานสี่เหมือน
เป็นวิธีลัด แม้ไม่ได้ตรงกันแป๊ะก็ยังใกล้เคียงครับ 4
คือการเพ่งด้วยสายตาแล้วเพ่งให้อักขระคาถาเข้าไปสู่วัตถุมงคล
วิธีนี้คล้ายกสิณจะบอกว่าเป็นหลักกสิณก็ได้ครับ
วิธีทั้งหมดนี้หากลองนำไปปฏิบัติก็นับว่าเป็นอุบายในการทำสมาธิได้อย่างดี
จะได้ไม่เบื่อในการทำสมาธิกัน
แต่หากใครจะจับหลักการไหนตามจริตก็เชิญเลยครับ
นำมาเผยแพร่ความรู้เป็นวิทยาทาน
เก็บความรู้จากครูบาคำเป็ง เรื่องวิชาการจัดทำวัตุมงคล โยกย้ายพลัง
หลวงปู่คำเป็ง นับเป็นพระปฏิบัติกรรมฐานที่มีความเชี่ยวชาญในกรรมฐานหลายแง่มุม
และกล่าวได้ว่าท่านเก่งรอบด้าน เก่งในกรรมฐานทุกกอง
ทั้งนี้เพราะท่านบำเพ็ญมาทางสายพระโพธิสัตว์
ดังนั้นจึงมีองค์ความรู้ที่เก็บสะสมมาจากแต่ละชาติอย่างมากมาย
เรื่องกรรมฐานนั้นปกติถ้าอยู่ในสายสาวกภูมิ
ใช้เพียงกรรมฐานกองใดกองหนึ่งที่เนื่องในจริตก็สำเร็จได้
แต่หลวงปู่นั้นอยู่ในสายพระโพธิสัตว์บำเพ็ญเพียรเพื่อถึงความเป็นสัมมา
สัมโพธิญาณจึงมีความรู้ความสามารถมากกว่าเป็นพิเศษ
จากการศึกษากรรมฐานของท่าน ท่านจะชำนาญเป็นพิเศษในการบริกรรมภาวนา
ท่านว่าสมัยก่อนท่านบริกรรมภาวนาวันละ ๑๘ ชั้วโมงติดต่อกันนานหลายปี
ในปัจจุบันท่านภาวนาต่อเนื่อง ๘ ชั่วโมงเพราะสภาพสังขารเริ่มไม่ไหว
นอกจากความชำนาญในการบริกรรมภาวนา การเพ่งนิมิต
การเพ่งภาพเพื่อให้เกิดพลังฌานท่านก็สามารถด้วยเช่นกัน
จากการปฏิบัติสืบเนื่องตจิดต่อเป็นเวลานานท่านได้พบเคล็ดลับวิชาหลายอย่าง
เช่นวิชามหาอุด คงกระพัน เมตตา ที่สำคัญที่ท่านชำนิชำนาญเป็นพิเศษคือ
วิชาโยกย้ายถ่ายเทพลังงาน
การโยกย้ายถ่ายเทพลังงานไม่ใช่วิชาใหม่แต่คนที่ชำนาญในไสยเวทย์โบราณเป็นกัน
ทุกคนแต่องค์ความรู้นี้ปัจจุบันมีคนรู้ไม่มากและไม่ค่อยมีใครใช้
พลังงานเป็นสิ่งที่สถิตย์อยู่ในวัตถุ คน สัตว์สิ่งของได้
ขณะเดียวกันพลังงานก็มีแรงผลัก แรงดูด
พลังงานมีการยักย้ายถ่ายเทไปตามแรงดึงดูดต่างๆได้ มีการสลายตัวได้
และกลับรวมเข้ากันใหม่ เปรียบเทียบง่ายๆกับ ธาตุน้ำ
ที่สามารถไหลจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่ง และเมื่อเทน้ำไปสู่ภาชนะใด
น้ำก็จะมีรูปร่างเป็นภาชนะนั้นโดยธรรมชาติ น้ำสามารถระเหยหายไปในอากาศ
แต่เมื่อสภาวะที่เหมาะสมเกิดขึ้นก็สามารถควบตัวเองกลายเป็นหยดน้ำเหมือนเดิม
พลังงานไม่มีวันหายไปไหนแต่วนเวียนในจักรวาลนานเท่านาน
ผู้ที่เข้าถึงหลักแก่นแท้แห่งจิต
แห่งพลังจักรวาลสามารถดึงพลังงานเหล่านี้ให้มาประจุภายในตัวเอง
และประจุในสิ่งของ ทั้งสามารถโยกย้ายถ่ายเทพลังงานไปตามความเหมาะสมได้ด้วย
เรื่องพลังงานนั้นนับเป็นเรื่องลึกลับสำหรับ
หลวงปู่คำเป็งท่านสำเร็จวิชาเกี่ยวกับพลังงาน
ทั้งเรื่องการดึงดูดพลังงานเข้าไว้ในกายหรือถ่ายเทสู่วัตถุต่างๆ
พลังงานนี้หลวงปู่ขยายความว่าหมายถึงพลังงานจากพระอาทิตย์ พระจันทร์
พลังงานจากทุกสรรพสิ่ง ต้นไม้ใบหญ้าใช่หมด
แต่ที่สำคัญหลวงปู่คำเป็งเล่าว่า
ในโลกของเรามีพลังงานจากปราณจากอำนาจกระแสจิตของเหล่าโยคีฤๅษีหรือพระเกจิ
ครูบาอาจารย์ที่สำเร็จทางจิตจำนวนมาก
พลังงานฌานสมาบัติของท่านทั้งหลายไม่ได้ตายตามตัวแต่ยังคงทิ้งไว้ในโลกของ
เรานี่เอง พลังงานของผู้สำเร็จทั้งหลายยังคงอยู่
แม้ว่าดวงจิตนั้นอาจบรรลุนิพพานไปแล้ว อันนี้เป็นคนละเรื่องกัน
พลังงานดังกล่าวคือพลังงานที่มีอุณหภูมิ มีความร้อน มีแรงดึงดูด
มีศักยภาพคล้ายแม่เหล็กไฟฟ้า
เมื่อดึงพลังงานนี้เข้าสู่ฝ่ามือจะรู้สึกได้ว่าฝ่ามือเราร้อนขึ้นหนักขึ้น
อาจมีอาการสั่น อาการเย็นจัดก็ใช่
หรือเหมือนมีกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่บนฝ่ามือเรา
พลังงานโลกธาตุหรือพลังงานจักรวาลหรือหลวงปู่ท่านจะเรียกบ่อยที่สุดว่าพลัง
จากพระเป็นเจ้า
พลังงานเป็นสิ่งที่ถ่ายเทหลื่นไหลเคลื่อนย้ายไปตามแรงดึงดูดได้เสมอ
คนที่มีจิตเป็นสมาธิอย่างดีสามารถเชิญพลังหรือดูดพลังงานเหล่านี้เข้าสู่ตัว
เองได้เข้าสู่วัตถุต่างๆได้ด้วย
พลังงานจากพระเป็นเจ้านี้หากดึงลงสู่วัตถุแล้วก็ทำ
ให้วัตถุนั้นๆเป็นเครื่องรางของขลังที่ทรงอานุภาพ
อย่างไรก็ตามหากคนที่เขามีวิชาก็สามารถสูบพลังงานนี้ออกไปได้
ดังนั้นการที่เราดูดพลังงานได้แล้วจำเป็นต้องรู้ถึงการรักษาพลังงานนั้นให้
คงอยู่และสามารถพัฒนาพลังงานนั้นไปตามลำดับ
ด้วยการรู้จักนำพลังงานไปใช้ให้เกิดประโยชน์
การถ่ายเทพลังงานนับเป็นเรื่องสำคัญ
ธรรมดามนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างมีการถ่ายเทพลังงานในตัวเองแลกเปลี่ยน
กับพลังงานรอบกายอยู่แล้ว เช่นมนุษย์เราหายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือ
การทานอาหารเข้าไปแล้วถ่ายออกมา การคายความร้อนของร่างกาย
ทุกกิจกรรมนั้นต่างเป็นการถ่ายเทพลังงานทั้งสิ้น การถ่ายเทพลังงานจักรวาล
เป็นสิ่งสำคัญเพราะพลังงานเหมือนกับน้ำหากนิ่งอยู่กับที่ไม่มีการถ่ายเทย่อม
ไม่เกิดประโยชน์และเสื่อมคุณภาพลงได้ การถ่ายเทพลังงานของหลวงปู่ท่าน
เป็นเรื่องอจินไตยเพราะท่านสามารถถ่ายเทพลังงานในตัวของท่านกับเทพพรหมที่มี
วาสนาต่อกันมาแต่อดีตชาติครับ
สำหรับเราๆท่านสามารถหัดถ่ายเทหพลังงานจักรวาลกับต้นไม้ได้
หรือกับพระเครื่องก็ได้
แต่ต้องระวังไม่เอาพระเครื่องที่มีเศษซากศพนะครับเพราะอาจโดนพลังแฝง
ใช้พระเครื่องของหลวงปู่คำเป็งนี่แหละครับดีที่สุด
ตามปกติการที่เราแขวนพระที่คอก็มีการถ่ายเทพลังงานจากพระมาสู่ตัวเราอยู่
แล้ว และมีการถ่ายเทพลังงานจากตัวเราไปสู่พระด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามการนำพระมากำหนดจิตถ่ายเทพลังงานโดยตรงก็เป็นอีกแบบฝึกหัดหนึ่ง
ที่มีประโยชน์
เพราะทำให้ผู้หัดถ่ายเทสามารถพัฒนาเป็นเกจิอาจารย์ไปโดยปริยาย
หลังจากที่เราถ่ายเทพลังงานจากกายเราไปสู่พระก็ต้องหัดกำหนดจิตดูดพลังงาน
จากพระเข้าสู่ตัวอีกครั้ง
การทำแบบนี้เรียกว่าเป็นการฟอกพลังงานด้วยเหมือนการฟอกเลือดหรือเหมือนกับ
การทำระบบน้ำหมุนวน ผลคือรัศมีกายเราจะสว่างมากขึ้น มีศักยภาพมากขึ้น
ศักยภาพที่มากขึ้นหมายถึงแรงดึงดูดของกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าในกายเราจะสูงขึ้น
ไงครับ มีศักยภาพทำให้เกิดความต้านทานโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น ดึงดูดสิ่งดีๆ
โอกาสดีๆ คนดีๆ เรื่องดีๆเข้ามาในชีวิตได้ง่ายขึ้นด้วย
วิชาเกี่ยวกับพลังงานนี่ที่สุดแล้วย่อมไปสู่เนื้อเดียวกันเหมือนสายน้ำทุก
สายย่อมรวมลงในทะเล สำหรับพระของหลวงปู่นั้นท่านว่า
การประจุพลังลงในองค์พระเมื่อเรารู้จักพลังของพระเป็นเจ้าอันเป็นพลังงานใน
ธรรมชาติแล้ว
ต่อมาเราต้องรู้จักอัญเชิญดวงจิตดวงวิญญาณของครูบาอาจารย์มาประสิทธิ
ขั้นนี้เรียกว่าวิญญาณศาสตร์
เมื่อทำการเสกพระท่านก็อัญเชิญครูบาอาจารย์ที่ท่านนับถือได้แก่พระอมิตภะ
พระกวนอิม พระมหาสถาปราบ หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่ศุข หลวงพ่อเงิน
หลวงพ่อเดิมฯลฯ ต้นสายวิชาแต่ละท่านมาประสิทธิ
เป็นการทำให้พลังงานในพระเครื่องแกร่งยิ่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว สุดท้ายคือ
การใช้ฌานสมาบัติ วิชาคาถาอาคม
อำนาจแห่งการบำเพ็ญเพียรของท่านลงประจุซ้ำอีกครั้งหนึ่งเป็นอันจบ
สรุปแล้วสามขั้นตอนที่ท่านทำคือ 1 หลักพลังงานจักรวาล
หรือพลังงานจากพระเป็นเจ้า 2 พลังจากครูบาอาจารย์ 3 พลังจิตภายในของท่าน
ว่าด้วยเรื่องการเสกประจุที่ท่านสอน ท่านกล่าวไว้ดังนี้ครับว่า
การเสกของประจุนั้นมีหลัก 4 อย่างอีกคือ 1 การสาธยาย
ภาวนาพระคาถาในใจหรือท่องเบาๆ ประจุลงในวัตถุมงคล 2
การภาวนาในใจแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกจากนั้นเป่าปราณออกทางปากยาวๆใส่ลงในตัว
วัตถุมงคล 3 การกลั้นหายใจภาวนา เรื่องนี้ท่านว่าเป็นเคล็ดลับ
ทำไมต้องกลั่นหายใจ ท่านว่าเพราะการกลั้นหายใจนั้นเป็นเคล็ด ที่ว่า
คนที่เขาทำฌานสี่เต็มกำลังลมหายใจจะขาดหาย
ดังนั้นการกลั้นหายในภาวนาจึงได้กำลังเทียบเคียงกับผู้ที่ทำฌานสี่เหมือน
เป็นวิธีลัด แม้ไม่ได้ตรงกันแป๊ะก็ยังใกล้เคียงครับ 4
คือการเพ่งด้วยสายตาแล้วเพ่งให้อักขระคาถาเข้าไปสู่วัตถุมงคล
วิธีนี้คล้ายกสิณจะบอกว่าเป็นหลักกสิณก็ได้ครับ
วิธีทั้งหมดนี้หากลองนำไปปฏิบัติก็นับว่าเป็นอุบายในการทำสมาธิได้อย่างดี
จะได้ไม่เบื่อในการทำสมาธิกัน
แต่หากใครจะจับหลักการไหนตามจริตก็เชิญเลยครับ
นำมาเผยแพร่ความรู้เป็นวิทยาทาน